
Wednesday, July 31, 2013
Tuesday, July 30, 2013
ทำความรู้จักตัวเก็งนายกฯกัมพูชา
ทำความรู้จักตัวเก็งนายกฯกัมพูชา
Cambodia's Future ประจำวันที่ 24 กรกฎาคม 2556
พูดถึงนักการเมืองกัมพูชา คนไทยทุกคนคงจะไม่นึกถึงใครอื่นนอกจากนายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีตลอดกาล ผู้กุมบังเหียนรัฐบาลกัมพูชามานานถึง 28 ปี เจ้าของวาทะเด็ดที่ว่าเมื่อตนเองเริ่มทำงานการเมืองนั้น นายกรัฐมนตรีไทยยังเป็นเพียงเด็กวิ่งเล่นอยู่
นายฮุน เซน หรือสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโชฮุน เซน เป็นนักการเมืองผู้คร่ำหวอดที่สุดในการเมืองกัมพูชาขณะนี้ เขาไต่เต้าขึ้นมาสู่อำนาจทางการเมืองด้วยลำแข้ง จากเด็กวัดลูกชาวนายากจนในจังหวัดกำปงจาม เข้าสู่แวดวงการเมืองด้วยการเข้าร่วมกับเขมรแดง แต่แตกคอกับพอล พต จนต้องลี้ภัยไปอยู่เวียดนาม และกลับมาอีกครั้งหลังการโค่นล้มเขมรแดง รับตำแหน่งรัฐมนตรีที่หนุ่มที่สุดในประวัติศาสตร์กัมพูชาด้วยวัย 27 ปี ตามมาด้วยการเป็นพันธมิตรกับเจ้านโรดม สีหนุ และขึ้นเป็นนายกฯครั้งแรกตั้งแต่เมื่อปี 2528 เมื่ออายุเพียง 33 ปี
ชื่อเสียงและศัทธาที่ประชาชนมีต่อนายฮุน เซนไม่ได้มาจากการทำนุบำรุงประเทศหลังยุคเขมรแดงให้กลับมาเจริญก้าวหน้าได้อีกครั้งเท่านั้น แต่เขายังมี "ชื่อเสีย" ในด้านการเป็นเผด็จการ และความเด็ดขาดในการกำจัดคู่แข่งทางการเมืองอีกด้วย ซึ่งบรรดาผู้ต่อต้านฮุน เซน ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าที่นายกฯคนนี้ ได้ครองตำแหน่งนาน ไม่ใช่เป็นเพราะเขาครองใจประชาชนได้ แต่เพราะนายฮุน เซน ไม่ยอมให้นักการเมืองหน้าไหนขึ้นมาเป็นคู่แข่งเขามากกว่า
แต่ขึ้นชื่อว่าการเมืองระบอบประชาธิปไตย คงไม่มีนักการเมืองคนไหนที่จะปราศจากคู่แข่งอย่างสิ้นเชิง ในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ นายฮุน เซน ต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งจากพรรคฝ่ายค้านอย่างนายสม รังสี ที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษจากคดีการเมือง และได้กลับมาหาเสียงก่อนวันเลือกตั้งเพียง 9 วัน โดยว่ากันว่านายฮุน เซน จำเป็นต้องให้นายสม รังสี กลับมาร่วมการเลือกตั้ง เพราะกลัวสหรัฐฯจะคว่ำบาตรการเลือกตั้งครั้งนี้ ด้วยข้อหาไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม
นายสม รังสีมีพื้นเพทางการเมืองตรงข้ามกับนายฮุน เซนอย่างสิ้นเชิง เขาเกิดในครอบครัวชนชั้นสูง บิดาเป็นนักการเมืองชื่อดัง แต่ต้องลี้ภัยไปอยู่ฝรั่งเศสตั้งแต่เด็ก และเติบโต รวมถึงศึกษาวิชารัฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ในฝรั่งเศส นายสม รังสี ประกาศตัวว่ามีแนวคิดเสรีนิยม และมุ่งทำงานรับใช้ประชาชนคนรากหญ้า แต่ด้วยความที่เขามีพื้นเพห่างไกลจากคนกัมพูชาทั่วไป และไม่เคยอยู่ร่วมรับรู้ความทรงจำอันเจ็บปวดในยุคเขมรแดงกับประชาชนทั้งประเทศ ทำให้จุดอ่อนที่สุดของเขาก็คือการไม่ได้ใจคนชนบท ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศ
อย่างไรก็ตาม นายสม รังสี ถือเป็นนักการเมืองที่มีผู้นิยมชมชอบมากที่สุดรองจากนายฮุน เซน และบุคคลที่มีโอกาสมากที่สุดที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนต่อไป แม้จะไม่ใช่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เนื่องจากเขาเพิ่งถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง จึงได้แต่ช่วยลูกพรรคหาเสียง แต่อาจเป็นในอนาคต อีก 14 ปีข้างหน้า หากนายฮุน เซน ยอมเกษียณตัวเองจากอำนาจเมื่ออายุครบ 74 ปีจริงตามที่เคยลั่นวาจาไว้ และนายสม รังสี ยังไม่คิดว่าตนเองซึ่งตอนนั้นจะอยู่ในวัย 78 ปี จะแก่เกินไปสำหรับการเป็นผู้นำประเทศ
นอกจากนายสม รังสี ยังมีนักการเมืองอีกคนที่โดดเด่นเป็นอย่างมากในการเลือกตั้งครั้งนี้ นั่นก็คือเจ้าหญิงอรุณรัศมี นอกจากจะทรงเป็นหนึ่งในสตรีเพียงไม่กี่คนในแวดวงการเมืองกัมพูชา พระองค์ยังเป็นเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงเพียงองค์เดียวที่ลงสนามเลือกตั้งในนามของพรรคฟุนซินเปค พรรคการเมืองสายนิยมเจ้าที่ก่อตั้งขึ้นโดยเจ้านโรดม สีหนุ
เจ้าหญิงอรุณรัศมี หรือพระอนุชนโรดมอรุณรัศมี ทรงเป็นพระธิดาพระองค์เล็กของเจ้านโรดมสีหนุ ผู้ก่อตั้งพรรคฟุนซินเปคและอดีตกษัตริย์กัมพูชา ทำให้ทรงนับเนื่องเป็นพระขนิษฐาต่างพระมารดากับพระบาทสมเด็จพระนโรดมสีหมุนี กษัตริย์กัมพูชาพระองค์ปัจจุบัน
เจ้าหญิงอรุณรัศมีเสกสมรสกับนายแก้ว พุทธรัศมี หัวหน้าพรรคฟุนซินเปคคนปัจจุบัน แต่เริ่มเล่นการเมืองในนามพรรคฟุนซินเปคอย่างจริงจังครั้งแรกในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2552 แต่สอบตก ในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ ทรงลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง และเป็นความหวังที่สำคัญที่สุดของพรรค ในฐานะที่ทรงเป็นพระธิดาของเจ้านโรดม สีหนุ ซึ่งยังครองใจประชาชนทั่วประเทศมาจนถึงปัจจุบัน
by Pannika
24 กรกฎาคม 2556 เวลา 08:30 น.
ពុករលួយ សអប់ខ្ពើមជនជាតិជិតខាង ២ បញ្ហាចំបងនៅក្នុងនយោបាយស្រុកខ្មែរ
'คอรัปชั่น-เกลียดเพื่อนบ้าน' 2 ปัญหาหลักในการเมืองกัมพูชา
Cambodia's Future ประจำวันที่ 25 กรกฎาคม 2556
นโยบายหลักในการหาเสียงของพรรคการเมืองฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลในกัมพูชา จับประเด็นอะไรมาใช้หาเสียงและโจมตีตอบโต้กันบ้าง แล้วสื่อในกัมพูชามองนโยบายต่างๆเหล่านี้อย่างไร
การหาเสียงในกัมพูชา ค่อนข้างจะมีลักษณะเฉพาะแตกต่างจากที่อื่นๆในโลก นั่นก็คือนโยบายของแต่ละพรรคไม่ได้รับความสนใจทั้งจากผู้สมัครส.ส. และประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เท่ากับกลเม็ดเด็ดพรายที่แต่ละฝ่ายใช้โจมตีฝ่ายตรงกันข้าม หรือขอคะแนนเสียงจากประชาชน ซึ่งจะว่าไปก็ถือเป็นสีสันและรสชาติของการเมืองแบบอาเซียนที่ไม่เหมือนที่ไหนๆในโลก
แม้ว่าพรรคการเมืองต่างๆจะไม่ได้ชูนโยบายอะไรเด่นชัดมากนัก แต่แนวทางและจุดยืนของแต่ละพรรค โดยเฉพาะพรรคการเมืองหลักอย่างพรรคประชาชนกัมพูชาของนายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน และพรรคกู้ชาติกัมพูชาของนายสม รังสี แกนนำฝ่ายค้าน ก็ค่อนข้างชัดเจน นั่นก็คือพรรคกู้ชาติกัมพูชา ใช้ยุทธวิธีโจมตีรัฐบาลของนายฮุน เซน ว่าเป็นพวกขายชาติ ซูเอี๋ยกับเวียดนาม ซึ่งเป็นวาทะที่เคยทำให้นายสม รังสี ต้องลี้ภัยทางการเมืองมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน จากการกล่าวหาว่านายฮุน เซน สมรู้ร่วมคิดกับรัฐบาลเวียดนาม ปักปันดินแดนแบบเสียเปรียบจนทำให้กัมพูชาต้องเสียดินแดนให้เวียดนามโดยไม่จำเป็น
เมื่อพรรคกู้ชาติกัมพูชาใช้กลยุทธแบบฝ่ายค้าน คือโจมตีรัฐบาลอย่างเดียวโดยไม่ได้เสนอนโยบายใหม่ๆที่เป็นรูปธรรม ฝ่ายพรรคประชาชนกัมพูชาก็เลยใช้กลยุทธแบบพรรครัฐบาลเต็มที่ นั่นก็คือใช้ความได้เปรียบที่ตนเองบริหารประเทศมานานหลายสิบปี อ้างความดีความชอบในลักษณะที่ว่า กัมพูชาเจริญรุ่งเรืองจากยุคหลังเขมรแดง ที่ประเทศชาติสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง มาเป็นกัมพูชาในวันนี้ได้ ก็ด้วยผลงานของนายฮุน เซน เท่านั้น
กลยุทธแบบย่ำอยู่กับที่ ไม่ได้มีการสร้างสรรค์หรือวางนโยบายใหม่ๆแบบนี้ ทำให้สื่อมวลชนในกัมพูชามองว่า จุดยืนในการหาเสียงของทั้งสองพรรค นอกจากจะไม่ได้ตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของสังคมกัมพูชา ยังเป็นการ "เล่นการเมือง" โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติอีกด้วย
การหาเสียงแบบต่อต้านเวียดนามของพรรคกู้ชาติกัมพูชา นอกจากจะกระตุ้นให้คนเกลียดชังรัฐบาล ยังเลยเถิดไปถึงทำให้คนกัมพูชาจำนวนมากเกลียดชังประเทศเวียดนามและคนเวียดนาม ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างกัมพูชาและเวียดนาม ในฐานะบ้านใกล้เรือนเคียงและเพื่อนร่วมอาเซียน ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คนกัมพูชาเชื้อสายเวียดนามที่มีอยู่ไม่น้อยในประเทศ ก็พลอยถูกรังเกียดเดียดฉันท์ไปด้วย กลายเป็นการสร้างความแตกแยกบาดหมางระหว่างประชาชนไปโดยปริยาย
ส่วนการหาเสียงแบบกินบุญเก่าของพรรคประชาชนกัมพูชา ก็ไม่สร้างสรรค์เช่นกัน เป็นที่รู้กันดีว่าพรรคนี้น่าจะได้รับชัยชนะและได้เป็นรัฐบาลต่ออีกสมัย นโยบายที่พรรคใช้ในการหาเสียง จึงจำเป็นต้องตอบสนองต่อปัญหาต่างๆที่กัมพูชากำลังเผชิญมากกว่าพรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะปัญหาคอรัปชั่น
ในระยะหลายปีที่ผ่านมา การที่กัมพูชาถูกปกครองโดยรัฐบาลพรรคเดียว และพรรคฝ่ายค้านไม่มีพลังอำนาจหรือช่องทางที่มีประสิทธิภาพในการตรวจสอบรัฐบาล ทำให้เกิดการทุจริตคอรัปชั่นอย่างกว้างขวางและซับซ้อนแพร่หลายไปทั่วประเทศ สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนรากหญ้า ที่ไม่มีเงินพอจะติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐ จนคนกัมพูชาบางส่วนที่เคยเป็นฐานเสียงที่ซื่อสัตย์ของพรรคประชาชนกัมพูชา เริ่มรู้สึกว่ารัฐบาลไม่ได้เหลียวแลใส่ใจพวกเขาเท่าที่ควร
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากพรรคประชาชนกัมพูชายังต้องการครองความนิยมในประเทศต่อไป ก็จำเป็นต้องมีแผนต่อต้านการคอรัปชั่นที่จริงจังและเป็นรูปธรรม รวมถึงการปฏิรูประบบยุติธรรมทั้งระบบ เพื่อลดการทุจริตคอรัปชั่นในระยะยาว
ข้อเสนอเหล่านี้ปรากฏทั่วไปในหน้าสื่อหลายฉบับของกัมพูชา แต่กระแสการเมืองที่นับวันจะเข้มข้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆเมื่อใกล้เข้าสู่วันเลือกตั้ง อาจทำให้ทั้งสองพรรคการเมืองใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพรรคของนายฮุน เซน หรือนายสม รังสี ยุ่งอยู่กับการทำคะแนนเสียงและทำลายความน่าเชื่อถือของคู่แข่ง มากกว่าจะมาให้ความสนใจในการวางนโยบายพัฒนาประเทศที่อาจจะไม่เห็นผลจนกว่าจะถึงอีก 10 ปีข้างหน้าเช่นนี้
by Pannika
25 กรกฎาคม 2556 เวลา 08:27 น.
Friday, July 26, 2013
แนวคิดและทฤษฎี Luther Gulick ទ្រឹស្តី POSDCoRB
Luther Gulick
ประวัติความเป็นมา
เกิดเมื่อวันที่ 17 มกราคม ค.ศ. 1892 ที่เมือง Osaka
ประเทศญี่ปุ่นเป็นชาว American แต่เนื่องจาก
บิดาเป็นMissionary ที่นั่น Gulick จึงอาศัยอยู่ที่ Osaka ต่อมานักวิชาการด้านรัฐประสาสนศาสตร์
มีความเห็นร่วมกันว่า
ทฤษฎีแนวความคิดหลักการบริหารได้เจริญถึงจุดสุดยอดในปี ค.ศ. 1937 อันเป็น
ปีที่ Gulick และ Urwick ได้ร่วมกันเป็นบรรณาธิการหนังสือชื่อ
Papers on the Science of Administration : Notes of the Theory of
Organization โดยเสนอแนวคิดกระบวนการบริหาร ซึ่งเป็น
ที่รู้จักกันดี ชื่อว่า ‘ POSDCoRB” อันเป็นคำย่อของภาระหน้าที่ที่สำคัญของนักบริหาร 7 ประการ
ทฤษฎี : กระบวนการบริหาร POSDCoRB
กูลิค และ เออร์วิกค์ ได้รวบรวมแนวคิดทางด้านการบริหารต่าง ๆ
เอาไว้ในหนังสือชื่อ
“Paper on the Science
of Administration ) โดยเสนอแนวคิดกระบวนการบริหาร
ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี
ชื่อว่า “POSDCoRB” ภาระหน้าที่ที่สำคัญของนักบริหาร
7 ประการ คือ
1.
Planning การวางแผน
เป็นการวางเค้าโครงกิจกรรมซึ่งเป็นการเตรียมการก่อนลงมือปฏิบัติ
เพื่อให้การดำเนินการ
สามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.
Organizing การจัดองค์การ
เป็นการกำหนดโครงสร้างขององค์การ โดยพิจารณาให้เหมาะสมกับงาน เช่น
การแบ่งงาน
(Division of Work) เป็นกรม กอง หรือแผนก
โดยอาศัยปริมาณงาน คุณภาพงาน หรือจัดตามลักษณะ
เฉพาะของงาน (Specialization)
3.
Staffing การจัดบุคลากรปฏิบัติงาน
เป็น เรื่องที่เกี่ยวกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในองค์การนั่นเอง
ทั้งนี้เพื่อให้บุคลากร
มาปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับการจัด
แบ่งหน่วยงานที่กำหนดไว้
4.
Directing การอำนวยการ
เป็นภารกิจในการใช้ศิลปะในการบริหารงาน เช่น ภาวะผู้นำ (Leadership) มนุษยสัมพันธ์
(Human Relations) การจูงใจ (Motivation)
และการตัดสินใจใจ (Decision making) เป็นต้น
5.
Coordinating การประสานงาน
เป็นการประสานให้ส่วนต่าง ๆ ของกระบวนการทำงานมีความต่อเนื่องกัน
เพื่อให้การดำเนินงาน
เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และราบรื่น
6.
Reporting การรายงาน
เป็นกระบวนการและเทคนิคของการแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาตามชั้นได้ทราบถึงผลการปฏิบัติงาน
โดยที่มีความสัมพันธ์กับการติดต่อสื่อสาร (Communication) ในองค์การอยู่ด้วย
7.
Budgeting การงบประมาณ
เป็นภารกิจที่เกี่ยวกับการวางแผนการทำบัญชีการควบคุมเกี่ยวกับการเงินและการคลัง
ข้อดีข้อเสียของ POSDCoRB
ข้อดี
·
องค์กรมีโอการประสบผลสำเร็จบรรลุเป้าหมาย มีสายบังคับบัญชาเดียว
·
สมาชิกองค์กรมีความเข้าใจวัตถุประสงค์องค์กร และ แบ่งสายงานชัดเจน
ไม่สับสน
·
ในหน่วยงานเดียวกัน มีความเข้มแข็ง
เพราะเลือกสายอาชีพเดียวกันมาร่วมกันทำงาน
·
ใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า ถูกที่ถูกงาน
·
การประสานงานระหว่างหน่วยงานมีความสะดวก
·
จัดเตรียมงบประมาณสนับสนุนแต่ละส่วนได้อย่างเหมาะสม
ข้อเสีย
·
เมื่อมีสายงานบังคับบัญชาที่ชัดเจน บางหน่วยงานอาจเลี่ยงปฏิบัติงานจนกว่าผู้บริการจะสั่งการลงมาโดยตรง
·
อุปกรณ์หรือเครื่องมือบางชนิดที่อยู่นอกเหนือหน่วยงานตนเอง
อาจต้องรอจนกว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบมาเป็นเมื่อการดำเนินงานให้
·
ทุกคนล้วนอยากอยู่ในหน่วยงานบริหารหลัก ทำงานใกล้ชิดผู้บริหาร
อาจเกิดความขัดแย้ง
การนำไปใช้ประโยชน์
1. หลักสกาลาร์
หรือสายการบังคับบัญชา
2. หลักเอกภาพในการบังคับบัญชา
3. หลักช่วงการบังคับบัญชา
4. หลักการเน้นที่จุดสำคัญ
5. หลักการจัดแบ่งแผนกงาน
6. หลักการเกี่ยวกับหน่วยงานหลักและหน่วยอำนวยการ
7. หลักการเกี่ยวกับศูนย์กำไร
ที่มา : http://applerakchon.blogspot.com/2012/10/1-luther-gulick.html
| http://adisony.blogspot.com/2012/10/luther-gulick.html
POSDCOORB เทคนิคการบริหารงานบุคคล
ประกอบด้วยวิธีการจัดการมี 7 ขั้นตอน ดังนี้
มีการศึกษา
เรียนรู้ ใช้ ในวงการต่างๆมานาน
โดยเฉพาะวงการศึกษานำมาใช้ในการบริหารการศึกษา
อย่างกว้างขวาง
ประกอบด้วยวิธีการจัดการ 7 ขั้นตอน ดังนี้
PLANNING การวางแผน
เป็นเทคนิคกระบวนการบริหารที่สำคัญจำเป็นต้องทำเป็นขั้นตอน ด้วยความประณีต ระมัดระวัง
มีความหมายสำคัญ ดังนี้
1.
การวางแผนเป็นการใช้สามัญสำนึกอย่างมีเหตุผล
2.
การวางแผนเป็นการมองปัญหาที่มีอยู่และพยายามหาวิธีการแก้ไขปัญหานั้น
3.
การวางแผนเป็นการหาทางเลือกที่ดีที่สุดในการปฏิบัติงานใดๆ
ภายในเวลาที่กำหนด
4.
การวางแผนเป็นการจัดสรรทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด
5.
การวางแผนเป็นความพยายามต่อเนื่องในการปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมาย
6.
การวางแผนเป็นการใช้ความรู้ความสามารถวินิจฉัยเหตุการณ์ต่างๆ
ในอนาคต
กิจกรรมการวางแผน 6
กิจกรรม คือ
1.
การกำหนดวัตถุประสงค์
2.
การกำหนดทางเลือก
3.
การกำหนดวิธีการบริหารทรัพยากร
4.
การกำหนดวิธีการดำเนินงาน
5.
การกำหนดวิธีการควบคุม
6.
การกำหนดวิธีการประเมินผล
ขั้นตอนในการวางแผน
1.
ขั้นเตรียมการ เป็นการเตรียมข้อมูล
บุคลากร ทรัพยากร วัตถุประสงค์ เป้าหมายในการดำเนินการ
รวมทั้งสรุปผลการดำเนินงานที่ผ่านมา
2.
ขั้นวิเคราะห์สรุป วิเคราะห์ข้อมูล
ข้อเท็จจริงต่างๆ
3.
ขั้นดำเนินการวางแผน กำหนดว่าจะทำอะไร what อย่างไร how ใครทำบ้าง who ที่ไหน where
และเมื่อไหร่ when
4.
ขั้นประเมินผล เป็นการสรุปผลการวางแผน เช่นบอกเวลาที่ได้รับทั้งทางตรง และทางอ้อม
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น สุดท้ายนำเสนอผู้มีอำนาจอนุมัติ
ORGANIZING การจัดองค์กร
การจัดองค์กร เป็นภารกิจของหน่วยงาน องค์การ
ที่จะร่วมกันจัดรูปงานเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไป
อย่างราบรื่นมีเป้าหมายที่แน่นอน
มีการจัดการที่เป็นรูปแบบ
ทุกคนในหน่วยงานมีความรู้ ความเข้าใจกลไก
การดำเนินงานภายใต้ระบบขององค์กรอย่างชัดเจน
เอกภาพในการบังคับบัญชา Unity of
command การจัดองค์กรจำเป็นต้องกำหนดเส้นทางเดินของงาน ตั้งแต่
จุดเริ่มต้นจนถึงจุดสุดท้ายของการทำงาน อำนาจในการตัดสินใจขั้นสุดท้าย ความมีประสิทธิภาพขององค์กรนั้น
เอกภาพในการบังคับบัญชามีความสำคัญ
หน่วยงานต้องจัดให้เกิดความคล่องตัวในการทำงาน ส่วนต่อการปฏิบัติ
และรายงาน
การวิเคราะห์ประเมินผล
สิ่งสำคัญในการสร้างความเป็นเอกภาพในการบังคับบัญชา อยู่ที่ความชัดเจน
ในการวินิจฉัยสั่งการ การรับรู้ในความรับผิดชอบร่วมกันของผู้บริหารและผู้ปฏิบัติ
การรับรู้เป้าหมาย วัตถุประสงค์
สูงสุดของงาน โดยหลักเกณฑ์
เงื่อนไงที่ผ่านการวิเคราะห์ วางแผนมาเป็นอย่างดีแล้ว
องค์ประกอบในการจัดองค์กร
1.
ภารกิจและวัตถุประสงค์ขององค์กร
2.
ขอบข่าย ความรับผิดขอบของงานในองค์กร
3.
สายการบังคับบัญชา
การเลื่อนไหลของสายงาน
4.
จำนวนบุคลากร
หรือผู้รับผิดชอบในแต่ละงาน แต่ละหน้าที่
5.
การประเมินผลและการควบคุมงาน
ลักษณะองค์กรที่มีความสำคัญในปัจจุบัน 2 ส่วน คือ
1. การจัดองค์กรในภาคราชการ Bureaucatic Section ภาคราชการให้ความสำคัญกับโครงสร้าง
การบริหาร
การจัดลำดับชั้นของสายการบังคับบัญชา
ลำดับขั้นการตัดสินใจเป็นรูปเจดีย์
คือ ผู้บริหารสูงสุด
อยู่ยอดแหลมของเจดีย์ แล้วมีผู้มีอำนาจ ตามภารกิจ
รองลงมาตามลำดับ จนถึงหน่วยปฏิบัติ การดำเนินงาน
เน้นที่ความสำเร็จของงานเป็นประเด็นหลัก
2. การบริหารงานธุรกิจเอกชน Privatic Section
ภาคธุรกิจเอกชนจะไม่ซับซ้อนเหมือนภาค
ราชการ
องค์การจะมีปลายแหลมที่ยอด แต่ฐานจะแยกเร็วกว่าของภาคราชการ เอกชนจะเน้นที่ภาคบริการ
ความพอใจของลูกค้า
มากกว่าความสำเร็จของงาน ดังนั้น
การจัดองค์การจึงมีลักษณะเหมือนหมวดนักรบ
ไทยโบราณ ผู้จัดการ
หรือเจ้าของกิจการอยู่บนยอด
และมีผู้ปฏิบัติหรือรองผู้จัดการอยู่ในขั้นรองลงมาไม่มากนัก ส่วนผู้ปฏิบัตินี้จะมีตั้งแต่รองผู้จัดการลงไป
STAFFING การบริหารงานบุคคล
การบริหารงานบุคคล Staffing หรือ Personel Administration หรือ Personel Management
หมายถึง
การดำเนินงานเกี่ยวกับบุคคลในการทำงานในหน่วยงานหรือ
องค์การเพื่อให้บุคคลมาปฏิบัติงานตามที่ต้องการ และให้บุคคลได้ปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีกระบวนการสำคัญ ดังนี้
1.
การกำหนดนโยบาย กฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล เพื่อเป็นกรอบ
ในการบริหาร
นโยบายจะเริ่มตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายรัฐบาล
นโยบายในแผน
พัฒนาระดับกระทรวง
มติคณะรัฐมนตรี
ส่วนภาคธุรกิจเอกชน
เน้นที่นโยบายและระเบียบที่จำเป็น
แก่การดำเนินงาน
2.
การวางแผนกำลังคน Man
Power Planning เป็นกระบวนการวางแผนว่าหน่วยงานมีกำลังคน
กี่คน
แต่ละคนปฏิบัติหน้าที่อย่างไร
ความรู้ความสามารถด้านใดบ้าง
เพื่อความเหมาะสมกับงาน
ซึ่งเริ่มตั้งแต่แผนความต้องการ
แผนการให้ได้มาของกำลังคนและแผนการใช้กำลังคน
3.
การจัดบุคคลและการสรรหาบุคคลให้ดำรงตำแหน่ง
Placement & Recruitment
-
การสรรหาบุคลา
เป็นกระบวนการที่จะประชาสัมพันธ์หน่วยงานเพื่อให้ได้บุคคล
ที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมสำหรับองค์กร ให้มาสมัคร เพื่อคัดเลือก Selection คนที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมที่สุดเข้าร่วมปฏิบัติงานในองค์กร
-
การจัดบุคคล Placementหมายถึงการจัดบุคคลที่ผ่านการคัดเลือก ให้ดำรงตำแหน่ง
ที่หน่วยงานวางแผนไว้แล้ว
เพื่อให้บุคคลปฏิบัติหน้าที่เกิดประโยชน์ต่อองค์กรสูงสุด
4.
การพัฒนาบุคลากร Human Resource
Development เป็นกระบวนการเกี่ยวกับการเพิ่มพูน
ความรู้ความสามารถของบุคลากรที่จะปฏิบัติงานในองค์กร การพัฒนาบุคลากรสามารถพัฒนาโดยองค์เอง หรือ ให้หน่วยงาน อื่นช่วยพัฒนาก็ได้ ทั้งนี้ ยึดความรู้ความสามารถที่บุคลาที่ได้รับ
เป็นประโยชน์ต่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงแก่องค์กร
5.
การให้เงินเดือนและค่าตอบแทน Salary Or
Compensation ถือเป็นภารกิจสำคัญที่ผู้บริหาร
เจ้าของกิจการ
ต้องจ่ายให้ข้าราชการ หรือลูกจ้าง
เพื่อเป็นค่ายังชีพ ทดแดนการทำงาน ถือเป็นรางวัลสำหรับการทำงาน การให้ค่าตอบแทน เงินเดือน โดยยึดถือระบบคุณธรรม ดังต่อไปนี้
-
หลักความสามารถ Competence ยึดผลงานตามความสามารถเหมาะกับเงินค่าตอบแทน
-
หลักความเสมอภาค Equality ให้โอกาสคนเสมอกันไม่เลือกชั้นวรรณะ
-
หลักความมั่นคง
Security ถือว่าการเข้าทำงานในองค์เป็นอาชีพอาชีพหนึ่ง การกำหนด
ค่าตอบแทนเงินเดือน ให้เหมาะสมกับการดำรงชีวิต การเข้า ออก จากงาน มีกฎหมาย
กฎเกณฑ์รอบรับที่ชัดเจน
เป็นธรรม
-
ความเป็นกลางทางการเมือง Political neutrality
คือ การทำงานไม่เกี่ยวข้องกับ
การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หรือการเปลี่ยนรัฐบาล
-
หลักสำคัญในการให้เงินเดือน คือ
งานมาก งานยาก รับผิดชอบสูงให้เงินเดือนสูง
งานน้อย งานไม่ยาก รับผิดชอบน้อย เงินเดือนน้อย
6.
งานทะเบียนประวัติหรือข้อมูลบุคลากร เป็นงานธุรการของบุคคล ข้อมูลการเข้ามาทำงาน
ของบุคลากร
ตั้งแต่ข้อมูลส่วนตัว
การศึกษา การทำงาน
การเลื่อนตำแหน่ง การพัฒนาศึกษาอบรม เงินเดือน
งานข้อมูลทะเบียนประวัติมีความสำคัญมาก
คนที่ออกจากงานเพื่อไปทำงานหน้าที่ตำแหน่งใหม่หากได้รับ
คำรับรองหรือหลักฐานการผ่านงานเดิมมาด้วย
มัดได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้มีประสบการ
มีความชำนาญต่างๆ
ตามที่หน่วยงานต้องการ
7.
งานประเมินผลการปฏิบัติงานหรือการพิจารณาความดีความชอบ การประเมินความดีความชอบ
ของบุคคลเป็นวิธีการสำคัญที่ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพ ธรรมชาติของคนเมื่อทำงานไปย่อมเกิดความเฉื่อย เมื่อได้รับการประเมินผลเป็นระยะ
และได้ขวัญกำลังใจย่อมทำให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
8.
งานวินัย
และการดำเนินงานทางวินัย
เป็นกิจกรรมสำคัญในการควบคุมพฤติกรรมของบุคคล
ไม่ให้ทำความผิด แบบแผน ธรรมเนียมปฏิบัติขององค์กร เป็นภารกิจสำคัญของผู้บริหารในการสอดส่อง
ดูและ ความประพฤติ
การรักษาวินัยของบุคลากรในองค์กร
ให้ดำเนินงานตามวัตถุประสงค์
เป้าหมาย
ขององค์กรที่วางไว้
ถ้ามีบุคคลละเมิดต้องดำเนินการตามแบบแผนตามสมควร
9.
สวัสดิการ ประโยชน์เกื้อกูล และสิทธิประโยชน์
10.
การให้ออกจากราชการ และการรับบำเหน็จบำนาญข้าราชการ
พนักงานองค์กรเอกชน มีข้อตกลง
ข้อกำหนด อายุในการทำงาน
เป็นข้อกำหนดข้อตกลงก่อนการทำงาน หรือการจ้างงาน การออกจากงาน
เป็นบทสุดท้ายของการบริหารงานบุคคล
การออกจากงานมี 2 กรณีที่สำคัญ
-
ออกตามประสงค์พนักงาน เช่น ลาออก
-
ออกเพราะความต้องการของหน่วยงาน เช่น เกษียณอายุ ยุบเลิกตำแหน่ง
ออกเพราะทำผิด
ซึ่งองค์กรต้องให้ออกตามข้อตกลง
DIRECTING การอำนวยการ
หมายถึง การส่งเสริม ช่วยเหลือ
ปรึกษา แนะนำ สั่งการ
ประสานกิจกรรม การติดต่อ
การมอบหมายภารกิจต่างๆ
เพื่อให้การดำเนินงานขององค์กรบรรลุวัตถุประสงค์ เป้าหมาย หรือ แผนที่วางไว้
กิจกรรมอำนวยการที่สำคัญ จำแนกได้ดังนี้
1.
การประสานงาน
Coordinating
2.
การตัดสินใจและสั่งการ Decision
Makinh
3.
การสั่งงาน Oder
4.
การติดตามดูแลกำกับ และให้คำปรึกษา Supervising
& Guiding
5.
การสร้างขวัญกำลังใจ และแรงจูงใจ Moral
and Motivating
6.
การใช้ภาวะผู้นำ Leadership
7.
การสร้างมนุษย์สัมพันธ์ Human
Relation
8.
การจัดระบบสื่อสารและการสร้างเครือข่าย
Net Work and
Communicating
9.
การมอบหมายงานและการมอบอำนาจหน้าที่ Take
Oder & Delegating
10.
การส่งเสริมกิจกรรมอื่นๆ Supporting
COORDINATING การประสานงาน
การประสานงานหมายถึง
การจัดระเบียบวิธีการทำงานเพื่อ ให้ผู้ปฏิบัติรู้ถึงวัตถุประสงค์
และรายละเอียด
ของงานจนสามารถปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะงานที่ได้รับมอบหมาย
งานมีการร้อยรัดต่อเนื่องกันจนเสร็จสิ้นภารกิจของหน่วยงานที่ได้ร่วมกันวางไว้ มีลักษณะสำคัญดังนี้
1. การประสานงานเป็นกระบวนการหนึ่งในการบริหาร หมายถึง
เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นตั้งแต่การวางแผน
เรียกประสานแผน
เพื่อให้คนวางรูปแบบการทำงานตามความรู้ความสามารถ เรียกว่า ประสานคน
และประสาน
ความเข้าใจทางความคิดเรียกประสานงานความคิด โดยเรียกการประสานทั้งหมดว่า การประสานงาน
2. การประสานงานเป็นหน้าที่ของผู้บริหาร หรือผู้จัดการ
3.
การประสานงานเป็นเรื่องเกี่ยวกับการแสวงหาความร่วมมือ
4. การประสานงานเป็นเรื่องเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสาร
5.
การประสานงานจะเป็นกิจกรรมที่อยู่ในทุกขั้นตอนของการทำงาน
6. การประสานงานเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการสื่อสัมพันธ์
วัตถุประสงค์ของการประสานงาน
1.
ลดความขัดแย้ง ระหว่างผู้ปฏิบัติกับองค์กร
2.
ช่วยให้เกิดความร่วมมือในการปฏิบัติงาน
3.
เกิดประสิทธิภาพ ประหยัดแรงงาน
เวลา และวัสดุอุปกรณ์
วิธีการประสานงานที่สำคัญ
1.
การจัดทำแผนผัง กำหนดหน้าที่การงานของหน่วยงาน แผนภูมิ
ป้ายทะเบียน เป็นต้น
2.
จัดทำความสั่ง กำหนดหน้าที่ชัดเจน
3.
ตั้งคณะกรรมการ ตามแผนงาน
4.
ทำแผนปฏิบัติงาน และแผนควบคุมการปฏิบัติงาน
5.
การกำหนดส่งงาน
6.
การระบุการจัดสรรงบประมาณ การจัดกิจกรรม
การควบคุมกิจกรรม
7.
การจัดประชุม สัมมนา การกระจายข่าว
หลักการคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมในการทำหน้าที่ประสานงาน
1.
เป็นผู้ที่เข้าใจภารกิจองค์กรเป็นอย่างดี
2.
เป็นผู้มีวุฒิภาวะ น่าเชื่อถือ
เป็นผู้ใหญ่
3.
เป็นผู้มีความรับผิดชอบสูง
4.
เป็นผู้มีความสามารถในการสร้างมนุษย์สัมพันธ์
5.
เป็นผู้มีศิลปในการพูดโน้มน้าวใจคน
CONTROLLING การควบคุมงาน
การควบคุมงาน หมายถึง
การดำเนินการในการกำกับดูแลการดำเนินงานต่างๆ เพื่อให้เป็นไป
ตามแผนงานที่วางไว้
การควบคุมงานมีลักษณะเป็นการกำหนดเกณฑ์
หรือ เป้าหมายของการปฏิบัติงาน
ไว้ล่วงหน้าแล้วเปรียบเทียบกับผลการปฏิบัติงานที่ปรากฎในด้านต่างๆ ดังนี้
1.
ด้านปริมาณ
Quantity
2.
ด้านคุณภาพ
Quality
3.
ด้านเวลา
Time
4.
ด้านงบประมาณ หรือต้นทุน Budget or
Cost
วิธีการควบคุมงานให้มีประสิทธิภาพ
1.
กำหนดเกณฑ์มาตรฐาน
หรือเป้าหมายการปฏิบัติงานในลักษณะที่ท้าทาย
2.
จัดระบบติดต่อสื่อสารให้ทั่วถึง Net work ให้มีการประสานงานสอดคล้องต่อเนื่อง
สามารถรายงานกิจกรรมได้ทันท่วงที
3.
ควรใช้วิธีการควบคุมงานตามแผนงานบริหาร
จุดประสงค์เป็นตัวชี้นำ M.B.O.
4.
ควรใช้วิธีการควบคุมงานแบบง่ายๆ
ไม่ซับซ้อน เห็นผลชัดเจนตามจุดสำคัญ
5.
ให้กำลังใจอย่างเหมาะสมและสม่ำเสมอ
6.
พยายามป้องกันพฤติกรรมของผู้ปฏิบัติงาน
ให้เป็นไปในเชิงบวก สร้างสรรค์
กิจกรรมควบคุมงานที่สำคัญ
1.
กำหนดแผนผัง แผนภูมิควบคุมงาน
ชัดเจน Bar Chart, Gantt
Chart
2.
ใช้งบประมาณเป็นตัวควบคุมงาน
3.
ควบคุมโดยกำหนดเป้าหมาย วัตถุประสงค์
MBO
4.
ควบคุมงานโดยใช้ห้องปฏิบัติการ
ปัญหาที่พบบ่อยในการควบคุมงาน
1.
การจัดระบบงานขาดประสิทธิภาพ
2.
การไม่ให้ความสำคัญของการควบคุมงานของผู้บริหาร
3.
ขาดความรู้
เทคนิคที่เหมาะสมในการควบคุมงาน
4.
ขากหลักเกณฑ์ มาตรฐานในการควบคุมงาน
5.
ขาดการร่วมมือของผู้ปฏิบัติงาน
REPORTING การรายงานผลงาน
การรายงานผลงาน หมายถึง การที่ผู้มีหน้าที่เสนอผลของงาน
หรือกิจกรรม ให้บริหาร หรือ
ผู้ร่วมงานได้ทราย
ซึ่งมีลักษณะสำคัญ 2 ลักษณะ
1.
รายงานขณะปฏิบัติงาน เป็นการรายงานตามขั้นตอนการปฏิบัติงาน ซึ่งกำหนดไว้
ในแผนปฏิบัติงาน
การรายงานอาจรายงานด้วยวาจา หรือ
ด้วยลายลักษณ์อักษร ปัจจุบัน มีการรายงาน
สู่สาธารณชน เช่น
ทางสื่อมวลชน เพื่อสร้างความเข้าใจ
ความพอใจแก่ประชาชน
2.
การรายงานเมื่อสิ้นสุดแผนงาน เป็นการรวบรวมผลการดำเนินงานทั้งหมด สรุป
เป็นรายงานผล
การดำเนินงาน
สิ่งที่จำเป็นควรเน้นพิเศษในการรายงาน
1. รายงานเป็นกระบวนการ INPUT PROCESS
OUT PUT
2. รายงานการใช้ทรัพยากร
มีการใช้ทรัพยากรอะไรไปบ้าง
มีปัญหาอุปสรรคอย่างไร
3. รายงานเกี่ยวกับผลที่เกิดขึ้น
4. รายงานเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดขึ้น Feed
Back เป็นการรายงานในภาพรวม
BUDGETING การงบประมาณ
การงบประมาณ มองที่การจัดหา จัดทำ
และบริหารงบประมาณ
ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร
งบประมาณ Budget หรือต้นทุน
Cost คือ
เงินหรือทรัพย์สินของที่ใช้ในการดำเนินงานขององค์กร หมายถึง
ทุนในการดำเนินงาน
แบ่งลักษณะงบประมาณได้ 2 ภาค
1.
งบประมาณภาคราชการ Bureaucratic
Budgeting จัดสรร
จัดทำโดยกระทรวงทบวงกรม
ต่างๆ ไปตามความจำเป็น โดยจัดสรรตามแผนงานโครงการ
2.
งบประมาณของภาคเอกชน Private Budgeting
เป้นทุนที่บริษัท
ห้างร้าน ได้มาจากการ
ระดมทุน เช่น หุ้น
เงินกู้จากแหล่งธุรกิจ
หรืออาจมาจากทุนส่วนตัวการบริหาร จัดสรรมาจากคณะกรรมการ B0ard ตามแผนงานที่คณะกรรมการได้กำหนดนโยบาย หรือกลยุทธ์ไว้
ความสำคัญของงบประมาณ
งบประมาณ ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการบริหาร การดำเนินงานต้องอาศัยเงินงบประมาณ
ส่วนราชการ ไม่สามารถผลิตได้เอง
เช่น เงินเดือน การก่อสร้าง
รถยนต์พาหนะต่างๆ จำเป็นต้องจัดหา
ด้วยเงินงบประมาณทั้งสิ้น
Subscribe to:
Posts (Atom)