โดย เชิงบันไดทำเนียบฯ
การต่อสู้คดีพื้นที่บริเวณปราสาทเขาพระวิหารระหว่างไทยกับกัมพูชาที่ศาลโลกณกรุงเฮกกลายเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างกว้างขวางผู้สื่อข่าวจึงขอประมวลข้อมูลเพื่อความเข้าใจที่มา-ที่ไป ของเหตุการณ์ที่นำไปสู่การสู้คดีดังกล่าว และแนวทางทีไทย และ กัมพูชาใช้ต่อสู้คดีกันในศาลโลกดังนี้
@กัมพูชากับไทยขึ้นศาลกันเรื่องอะไร และทำไม?
การขึ้นศาลไม่ใช่การฟ้องคดีใหม่ แต่เป็นการขอตีความ คำพิพากษาที่ศาลโลกเคยมีไว้แล้วใน ปี พ.ศ. 2505 ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเข้าใจความเป็นมาของเรื่องราว ที่นำไปสู่คำตัดสินของศาลโลกในปี พ.ศ. 2505 ก่อน
@ความเป็นมา และบริบทของความขัดแย้งนี้เป็นอย่างไร?
ความเป็นมาของข้อขัดแย้งเรื่องปราสาทเขาเริ่มจากสนธิสัญญาที่ฝรั่งเศสซึ่งขณะเป็นเจ้าอาณานิคมที่ปกครองกัมพูชาอยู่ได้ทำสัญญาแบ่งเส้นเขตแดนบริเวณเขาพระวิหารกับไทย(ซึ่งขณะนั้นเป็น“สยาม”)
สยามได้ทำสนธิสัญญาแบ่งเส้นเขตแดนกับฝรั่งเศสในปีพ.ศ.2447(ค.ศ.1904)และปีพ.ศ.2450(ค.ศ.1907)ซึ่งในสัญญากำหนดให้ใช้สันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงรักเป็นเส้นแบ่งเขตแดน(แนวสันปันน้ำก็คือแนวสันเขาที่แบ่งน้ำให้ไหลออกไปเป็นสองฟากนั่นเองซึ่งสันปันน้ำไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นยอดที่สูงที่สุดของเขาก็ได้แต่ต้องเป็นแนวที่เวลาฝนตกลงมาน้ำจะไหลแยกออกเป็นสองฟาก)
เมื่อตกลงกันได้ตามสัญญาแล้วทั้งไทยและฝรั่งเศสจึงได้ตั้งคณะกรรมการปักปั่นเขตแดนขึ้นเพื่อสำรวจแบ่งดินแดนตามสนธิสัญญา
รอบแรกในปีพ.ศ.2447(ค.ศ.1904) โดยมีพลตรีหม่อมชาติเดชอุดมเป็นประธานฝ่ายไทยและพันโทแบร์นาร์เป็นประธานฝ่ายอินโดจีนฝรั่งเศสทางฝรั่งเศสได้นำผลการสำรวจไปเขียนเป็นแผนที่ขึ้นชุดหนึ่งคือ“แผนที่คณะกรรมการปักปันเขตแดนสยามกับอินโดจีน”หรือ“แผนที่แบร์นาร์(Bernard)”โดยแผนที่ดังกล่าวได้เขียนให้ปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในดินแดนอินโดจีนของฝรั่งเศส
ส่วนในปีพ.ศ.2450(ค.ศ.1907) ได้มีการเจรจาเปลี่ยนแปลงดินแดนบางส่วนเพิ่มเติ่มจึงมีการแต่งตั้งคณะกรรมการปักปั่นเขตแดนชุดที่สองโดยมีพระองค์เจ้าบวรเดชเป็นประธานฝ่ายไทยและพันตรีกีชาต์มงแกร์เป็นประธานฝ่ายอินโดจีนฝรั่งเศส
หลังจากนั้นฝรั่งเศสได้นำผลการสำรวจของคณะดังกล่าวไปจัดทำแผนที่เพิ่มเติมขึ้นอีกชุดหนึ่งเรียกว่า“แผนที่มงแกร์(Montguers)”โดยเขตแดนบริเวณเขาพระวิหารยังเป็นตามแผนที่ฉบับเดิม
สยามได้พิมพ์เผยแพร่แผนที่ทั้งสองฉบับและได้ส่งเจ้าหน้าที่ร่วมกับฝรั่งเศสเข้าไปปักหลักเขตแดน
หลังจากนั้นเมื่อเข้าสู่ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองอาณาเขตระหว่างไทยกับอินโดจีนของฝรั่งเศสมีการเปลี่ยนแปลงคือรัฐบาลไทยสมัยจอมพลป.ได้ครอบครองดินแดงจังหวัดนครจัมปาศักดิ์จังหวัดลานช้างจังหวัดพิบูลสงครามและจังหวัดพระตะบองซึ่งอยู่ในเขตกัมพูชาในปัจจุบันเพิ่มเติมตาม“อนุสัญญาโตเกียวพ.ศ.2484”
แต่เมื่อสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองฝ่ายญี่ปุ่นแพ้สงครามไทยกับฝรั่งเศสได้ทำการเจรจาดินแดนกันใหม่ได้ยกเลิกอนุสัญญาโตเกียวและปรับดินแดนกลับเป็นเหมือนเดิม
ไทยได้ถอนทหารออกจากเขตแดนจังหวัดทั้งสี่และคืนดินแดนให้ตามสัญญาที่ทำไว้กับฝรั่งเศสแต่ยังไม่ยอมถอนทหารออกจากปราสาทเขาพระวิหารซึ่งทางฝรั่งเศสได้ทักท้วงหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้มีการตอบสนองจากฝั่งไทย
หลังจากกัมพูชาประกาศเอกราชจากฝรั่งเศสในพ.ศ.2497ก็ได้รับสืบทอดสนธิสัญญาที่ไทยทำไว้กับฝรั่งเศสและเริ่มเจรจาเรื่องเขตแดนกับฝ่ายไทย
ซึ่งรัฐบาลไทยประกาศในพ.ศ.2501ว่าจะยอมรับสิทธิ์และสนธิสัญญาเกี่ยวกับเขตแดนกับกัมพูชาตามที่ได้ทำสัญญาไว้กับฝรังเศสคือตามสันบันน้ำแต่จะไม่ยอมรับเอกสารใดๆที่แนบท้ายมากับสัญญารวมถึงแผนที่คณะกรรมการปักปันเขตแดนสยามกับอินโดจีนด้วยเพราะถือว่าแผนที่ดังกล่าวเป็นฝ่ายฝรั่งเศสทำขึ้นแต่ฝ่ายเดียว
โดยไทยได้อ้างเส้นสีดำว่าเป็นสันปันน้ำที่แท้จริงตามสัญญาในขณะที่กัมพูชาได้อ้างเส้นประสีแดงตาแผนที่คณะกรรมการปักปันเขตแดนสยามกับอินโดจีน
การตีความสนธิสัญญาและการปักปันเขตแดนทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกัมพูชากับไทยขึ้นจนกระทั้งต้องนำเรื่องขึ้นสู่ศาลโลกในปี2505
@คำตัดสินของศาลโลกในปี 2505 เป็นอย่างไร?
ศาลโลกได้ยกเหตุผลสองประการคือ
1.ไทยได้ยอมรับแผนที่ปักปันในอดีต
อ้างจากที่ไทยมีส่วนร่วมในการปักปันเขตแดนไทยเป็นฝ่ายขอให้ฝรั่งเศสเอาผลการสำรวจไปทำแผนที่และเมื่อแผนที่แล้วเสร็จไทยขอร้องให้ฝ่ายฝรั่งเศสส่งแผนที่มีเพิ่มเพื่อใช้ในราชการไทย
2.การปฏิบัติในภายหลังของไทยแสดงท่าทีเหมือนยอมรับการแบ่งเขตแดนนั้นทำให้ไทยไม่อาจปฏิเสธเส้นเขตแดนนั้นได้ตามหลักกฎหมายปิดปาก
อ้างจากที่พ.ศ.2473สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพและคณะข้าราชการระดับสูงของไทยได้เยี่ยมชมปราสาทพระวิหารที่ชักธงฝรั่งเศสโดยมีข้าหลวงฝรั่งเศสมาต้อนรับในลักษณะเจ้าภาพอย่างเป็นทางการ
นอกจากนั้นไทยยังไม่ได้คัดค้านเส้นเขตแดนในแผนที่แบร์นาดซึ่งแสดงปราสาทอยู่ในเขตกัมพูชาแต่กลับพิมพ์เผยแพร่และปล่อยให้ฝั่งเศสสำรวจดินแดนส่วนนั้นแต่เพียงฝ่ายเดียว
ศาลโลกจึงได้มีคำตัดสินว่าปราสาทเป็นของกัมพูชา และออกคำสั่งให้ "ประเทศไทยมีพันธะที่จะต้องถอนกำลังทหารหรือตำรวจ ผู้รักษาหรือผู้ดูแลซึ่งประเทศไทยส่งไปประจำอยู่ที่ปราสาทพระวิหารหรือบริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา"(thatThailandisunderanobligationtowithdrawanymilitaryorpoliceforces,orotherguardsorkeepers,stationedbyher at the temple, or in its vicinity on Combodian territory.) ไว้ในส่วนที่เป็นบทปฏิบัติการข้อที่ 2
@ประเด็นของการตีความที่ไม่เหมือนกันของไทยและกัมพูชามาจากไหน?
ประเด็นความกำกวมของการตัดสินของศาลก็คือวลีที่ว่า"initsvicinity on Cambodian territory." หรือ “บริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา” นั้นมีขอบเขตอยู่ตรงไหน
ความกำกวมในคำตัดสินนี้ทำให้ทั้งสองฝ่ายยึดถือต่างกันโดยฝ่ายไทยมีมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)ปีพ.ศ.2505ให้ถือว่าไทยเสียดินแดนให้กัมพูชาเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารหมายความว่าไทยตีความว่า“บริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา”คือเฉพาะตรงตัวปราสาทเขาพระวิหารเท่านั้น(ไทยยึดถือตามเส้นสีเหลือตามแผนที่ข้างต้น)
ส่วนทางกัมพูชาตีความว่า“บริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา”คือ เส้นเขตแดนที่แบ่งตาม แผนที่ภาคผนวก 1 หรือ แผนที่คณะกรรมการปักปันเขตแดนสยามกับอินโดจีน ซึ่งกำหนดให้ 4.6 ตารางกิโลเมตร อยู่ฝั่งเขมร
หลังจากเกิดการปะทะกันด้วยกำลังทหาร ในสมัยรัฐบาล อภิสิทธิ์ กัมพูชาจึงได้ร้องเรื่องดังกล่าวขึ้นสู่ศาลโลก เพื่อขอให้ศาลโลกตีความว่า ที่ว่า "in its vicinity on Cambodian territory." หรือ “บริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา” นั้นมีขอบเขตอยู่ตรงไหนกันแน่
@กัมพูชามีแนวทางการสู้คดีครั้งนี้อย่างไร?
เมื่อวันที่ 15 เม.ย. ทนายของฝ่ายกัมพูชา ในฐานะผู้ร้อง ได้แถลงคดีต่อศาลด้วยวาจาก่อน โดยแนวทางที่กัมพูชาใช้สู้คดีคือ
1. กัมพูชากล่าวหาไทย ว่าใช้กำลังทหารรุกรานกัมพูชาใน ปี 2551, 2552, 2554
2. กัมพูชายอมรับคำตัดสินของศาลโลก ปี พ.ศ.2505 แต่อยากขอให้ตีความ "in its vicinity on Cambodian territory." หรือ “บริเวณใกล้เคียงบนอาณาเขตของกัมพูชา” นั้นมีขอบเขตอยู่ตรงไหนกันแน่ และกัมพูชายืนยันว่าศาลมีอำนาจในการตัดสิน
3. กัมพูชาไม่ยอมรับลวดหนามที่ฝ่ายไทยเอามาล้อมเขาพระวิหารตามมติครม.ของไทยปี 2505 ซึ่งเป็นการตีความคำสั่งศาลโลกฝ่ายเดียว พร้อมทั้งได้ยกหลักฐานว่ากัมพูชาได้แสดงการประท้วงการตีความของไทยมาโดยตลอด และเคยยื่นประท้วงต่อ คณะมนตรีความมั่งคงของสหประชาชาติแล้ว
4. กัมพูชาขอให้ยึดเอาเส้นแบ่งดินแดนตามแผนที่ภาคผนวก1ที่ใช้ในคำตัดสินปี 2505 ของศาลโลก (หรือแผนที่คณะกรรมการปักปันเขตแดนสยามกับอินโดจีน) และอ้างหลักฐานว่าไทยเคยยอมรับเส้นเขตแดนดังกล่าวด้วย
5. กัมพูชามองว่า MOU43 เป็นสัญญาที่ไทยจะเริ่มปักปันเขตแดนกับกัมพูชา เป็นการตกลงเพื่อปักหมุดในพื้นที่จริง ดังนั้นเส้นเขตแดนต้องมีอยู่แล้ว ซึ่งก็คือเขตแดนตามแผนที่ภาคผนวก 1
@ไทยต่อสู้คดีอย่างไร?
วันที่ 17 เม.ย. ทีมทนายของไทยได้กล่าวให้การด้วยวาจาในศาลโลกโดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
1. พื้นที่ 4.6ตารางกิโลเมตร เป็นข้อพิพาทที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อปี 2505 การร้องขอให้ศาลตีความเส้นเขตแดนดังกล่าวเป็นคำขอที่รับไม่ได้ เป็นเหมือนคำอุทธรณ์ ถือว่าเป็นคำร้องโดยมิชอบ และข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในปัจจุบันไม่ได้แตกต่างไปจากข้อพิพาทเดิมก่อนปี 2505
โดยไทยจะอ้างธรรมนูญของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศมาตรา60ซึ่งบัญญัติว่า"คำพิพากษาของศาลเป็นที่สุดและอุทธรณ์ไม่ได้ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับความหมายหรือขอบเขตของคำพิพากษาศาลต้องตีความตามคำร้องขอของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง"และตีความว่าการร้องขอให้ตีความคำพิพากษาของกัมพูชาแท้จริงแล้วไม่ใช่การขอตีความคำพิพากษาเดิมจริงๆแต่เป็นหารแฝงนัยอุธรณ์อยู่ดังนั้นศาลจึงไม่มีอำนาจในการรับตีความประเด็นดังกล่าว
2.กัมพูชาไม่ได้ใช้หลักฐานใหม่ และใช้เอกสารที่เป็นเอกสารปลอมแปลงต่อศาล
3. แผนที่ภาคผนวก1 ไม่ได้ถูกใช้เป็นนัยยะสำคัญของคำตัดสินในปี 2505 ศาลเพียงใช้ประกอบคำตัดสิน และตัดสินเพียงให้ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา จะอ้างเส้นเขตแดนไม่แผนที่ไม่ได้
4. แผนที่ภาคผนวก 1 ไม่ได้มีเพียงแผนที่เดียว จึงไม่อาจระบุได้ว่าถ้าจะเอาเส้นเขตแดนตามแผนที่จะเอาตามแผนที่ไหน จะเลือกเอาตามแผนที่ที่กัมพูชาชอบที่สุดไม่ได้
5. ไทยได้คำยอมรับคำตัดสินของศาล คืนปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา ตามคำสั่งของศาล พ.ศ.2505 แล้ว กัมพูชาเองก็ยอมรับเรื่องนี้ และประกาศในสหประชาชาติ
6. สมเด็จพระนโรดม สีหนุ ก็เห็นรั้วลวดหนามที่ฝ่ายไทยล้อมไว้และเห็นตำรวจของไทยอีกฝั่ง แต่ก็ไม่ได้มีการท้วงติง อีกทั้ง สมเด็จฯ สีหนุ ยังดื่มเฉลิมฉลองด้วย ฉะนั้นเมื่อพิจารณาเทียบกับคำตัดสินของศาลเมื่อปี 2505 ที่ศาลตัดสินว่าการที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ขึ้นเขาพระวิหารเป็นการยอมรับว่าตัวปราสาทเป็นของเขมร ดังนั้น การที่สมเด็จพระนโรดม สีหนุ เฉลิมฉลองและไม่ทักท้วงเรื่องลวดหนาม ก็น่าจะยอมรับได้เหมือนกัน
7. ไทยได้สร้างสำนักงาน ประตูทางเข้าปราสาท ซุ้มตรวจตั๋ว ในเขตแดนของไทย ซึ่งกัมพูชาก็ไม่ได้โต้แย้งแต่อย่างใด
การให้การด้วยวาจาในศาลโลก ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์จะมีต่อไปจนถึงวันที่ 19 เม.ย. นี้ และจะมีการประกาศคำตัดสินในเดือนตุลาคม 2556
No comments:
Post a Comment